สเต็มเซลล์ คืออะไร
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คือเซลล์ต้นกำเนิดที่ยังไม่พัฒนาไปทำหน้าที่เฉพาะ
จึงมีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ สามารถแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลง (Differentiate) ไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ
ภายใต้สภาวะที่ถูกกำหนดและควบคุมให้สามารถเจริญเติบโตเป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะต่าง ๆ กระดูก สามารถพัฒนาซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกัน
และสามารถพัฒนาให้ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายจากการบาดเจ็บหรือจากโรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้ เสต็มเซลล์สามารถพบได้หลายแหล่ง ได้แก่
ไขกระดูก (Bone marrow) เลือด (Peripheral blood) เลือดจากสายรก (Cord blood) รก (Placenta) ไขมัน (Adipose tissue)
ฟันน้ำนม (Baby teeth) และฟันคุด (Impacted Tooth) เป็นต้น ทั้งนี้เซลล์จากต้นกำเนิดจากเซลล์ไขกระดูกและเซลล์เม็ดเลือดจะมีคุณภาพด้อยกว่า
และยากต่อการจัดเก็บ เมื่อเทียบกับเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากฟันน้ำนมและฟันคุด ดังนั้นการจัดเก็บเซลต้นกำเนิดจากฟันน้ำนมและฟันคุด
จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะสามารถที่จะจัดเก็บได้ง่าย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมาก โดยการนำเซลต้นกำเนิดจากฟันน้ำนมและฟันคุด
ไปจัดเก็บไว้ที่ธนาคารเซลล์ต้นกำเนิดจากฟันน้ำนมและฟันคุด (Tooth Cell Bank) เพื่อการเก็บรักษาไว้ใช้ในอนาคต
สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิด คือ เซลล์ที่ยังไม่มีการพัฒนาเป็นเซลล์ชนิดใด
มีความสามารถในการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนตัวเองได้ และสามารถพัฒนาเป็นเซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง
ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นเนื้อเยื่อหรืออวัยวะเมื่ออยู่ในสภาวะที่เหมาะสม
Stem Cells สามารถแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลง (Differentiate) ไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ภายใต้สภาวะที่ถูกกำหนดและควบคุมให้สามารถเจริญเติบโต
เป็นเนื้อเยื่อ อวัยวะต่าง ๆ กระดูก สามารถพัฒนาซ่อมแซมระบบภูมิคุ้มกัน และสามารถพัฒนาให้ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายจากการบาดเจ็บหรือจากโรคร้ายแรงต่าง ๆ ได้
สเต็มเซลล์แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. Embryonic Stem cell เป็นเซลล์ที่สามารถแยกได้จาก Embryo หรือตัวอ่อนในระยะ Blastocyst
มีความสามารถในการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลง (Differentiate) ไปเป็นเซลล์อื่นๆได้เกือบทุกชนิด (Pluripotency)
แต่การนำสเต็มเซลล์ชนิดนี้มาใช้ มีปัญหาทางด้านจริยธรรม
2. Adult stem cell คือสเต็มเซลล์ทุกชนิดที่พบในอวัยวะต่างๆ นับตั้งแต่เมื่อคนหรือสัตว์คลอดออกมาจากครรภ์
เป็นสเต็มเซลล์ที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์อื่นๆได้หลายชนิด (Multipotency) ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดและแหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ชนิดนั้นๆ
|
|
เซลล์ต้นกำเนิดสามารถรักษาโรคใดได้บ้าง
การบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด แบ่งออกได้เป็นหลายชนิด และในปัจจุบันเซลล์ต้นกำเนิดเริ่มเป็นที่ยอมรับว่าสามารถรักษาโรคได้หลายชนิด
ในสหรัฐอเมริกาการบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด มีประสิทธิภาพ ในการโรคเลือด มะเร็งบางชนิด และโรคอื่นๆ มานานกว่า 10 ปี
และยังมีการนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก เป็นที่ยอมรับว่าการบำบัดรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดในระยะต่อไป
จะสามารถนำมาใช้รักษาโรคเกี่ยวกับสมอง อาทิเช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคพาร์กินสัน และภาวะสมองเสื่อมก่อนวัย การได้รับบาดเจ็บของไขสันหลัง
โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โรค MS และ ALS ข้อเสื่อม โรคที่มีผลสืบเนื่องมาจากความเสื่อมของอวัยวะ มะเร็งบางชนิด และโรคหัวใจ
นักวิจัยได้ค้นพบว่า เยื่อในของฟันน้ำนมของเด็กบางซี่ ประกอบด้วยเซลล์ชนิด Chondrocyte, Osteoblast, Adipocyte และ เซลล์ต้นกำเนิดชนิด Mesenchymal
เซลล์ชนิดต่างๆทั้งหมดเหล่านี้มีศักยภาพอย่างสูงในการรักษาโรคอื่นๆที่มิได้ระบุไว้ในรายการข้างต้น ศักยภาพของการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดจากฟันน้ำนมมาใช้ประโยชน์ในการรักษา
จะรวมถึงโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง เช่น อัลไซเมอร์, พาร์กินสัน และ ALS โรคหัวใจเรื้อรัง ตัวอย่างเช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง
โรคที่เกี่ยวกับกระดูกและฟัน รวมทั้งการนำมาใช้ในการปลูกถ่ายฟันและกระดูก ศักยภาพที่มีความสำคัญสูงสุดประการหนึ่ง คือ การนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดชนิดนี้
มาใช้ในการรักษาภาวะ อัมพาตที่มีผลสืบเนื่องมาจากไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ซึ่งได้มีการศึกษาวิจัยถึงประสิทธิภาพจากการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด
ชนิด Mesenchymal จากแหล่งอื่นๆมาแล้ว ความพยายามในการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิดมารักษาโรคเหล่านี้ กำลังมีการดำเนินการโดยนักวิจัยที่มีความสามารถสูง
ในสถาบันการแพทย์ที่ดีที่สุด หลายแห่งทั่วโลก และเป็นที่ยอมรับว่า การรักษาโรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า
|